จองทริป ครบ จบที่เดียว
ดาวน์โหลด Robinhood เลย

Download

100 กิโลเมตร คือระยะทางจากกรุงเทพฯ สู่ราชบุรี ใช้เวลาขับรถราว 1 ชม.ครึ่งก็ถึง ราชบุรีมีที่ให้เที่ยวมากมายหลายรูปแบบ แต่เป้าหมายหลักของเราในคราวนี้ คือการไปพักผ่อนนอนเพลินที่โรงแรมพิงเพ-ลา โพธาราม ริมน้ำแม่กลองซึ่งได้เห็นรูปชวนให้หลงใหลในโซเชียลมีเดียมาสักพักแล้ว จึงเกิดทริปราชบุรี-โพธาราม 2 วัน 1 คืนครั้งนี้ขึ้นมา โดยตั้งเป้าไว้ง่ายๆ ว่าจะแวะชม 3 มิวเซียมกับ 1 คาเฟ่ ก่อนไปเช็คอินที่โรงแรมเป้าหมาย

สต็อปแรก “พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติราชบุรี” อยู่ในตัวเมือง เป็นอาคารศาลากลางจังหวัดหลังเก่าที่เก็บเรื่องราวของราชบุรีและดินแดนแถบนี้ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยทวารวดี อาคารไม้นี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 สามารถเดินต่อเนื่องได้ 4 ด้าน จัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ โบราณคดี ชาติพันธุ์วิทยา ธรณีวิทยา ศิลปะพื้นบ้าน กระทั่งเครื่องมือเครื่องใช้ในการจับสัตว์น้ำตามวิถีชีวิตในสมัยก่อนและที่มาของโอ่งมังกรราชบุรี  รวมทั้งมีเรื่องของกลุ่มชนต่าง ๆ ในจังหวัด เช่น ลาวโซ่ง  กะเหรี่ยงและไท-ยวน โบราณวัตถุที่โดดเด่นนอกจากพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมี ศิลปะขอมแบบบายน เป็น 1 ใน 5 องค์ที่ขุดพบในประเทศไทยซึ่งแม้ไม่มีเศียร แต่สภาพของส่วนที่เหลืออยู่นั้นสมบูรณ์งดงามที่สุด ยังมีพระแสงดาบราชศัสตราประจำมณฑลราชบุรี และนิทรรศการที่สะดุดตาและมีค่าที่สุดคือ การเชิดชูปราชญ์และศิลปินท้องถิ่นสาขาต่างๆ ให้ลูกหลานและคนต่างถิ่นได้รู้จัก  เป็นพิพิธภัณฑ์ประจำจังหวัดที่ดีมากๆ แห่งหนึ่ง เล่าครบ จบทุกเรื่องในที่เดียว เมื่อชมแล้วจะรู้จักราชบุรีมากขึ้นและเที่ยวชมจังหวัดนี้ได้สนุกลึกซึ้งยิ่งขึ้น

เป้าหมายที่ 2 “จิปาถะภัณฑ์สถานบ้านคูบัว” ตั้งอยู่ในบริเวณวัดโขลงสุวรรณคีรี ตำบลคูบัว อำเภอเมือง เป็นพิพิธภัณฑ์ชาวบ้าน ที่ตั้งขึ้นเพื่อสืบทอดวัฒนธรรมไท-ยวน (ย้ายจากเชียงแสนมาในสมัยรัชกาลที่ 1 - ความรู้สดๆ ที่เพิ่งได้จากพิพิธภัณฑ์ฯ ราชบุรี)  ซึ่งปัจจุบันหลงเหลืออยู่เพียงแค่ภาษาพูดและการทอผ้าจก มรดกทางวัฒนธรรมการแต่งกายของผู้หญิงไท-ยวนเท่านั้น โดยใช้หุ่นขี้ผึ้งเสมือนคนจริง จัดแสดงวิถีชีวิตในแง่มุมต่างๆ เป็นห้องๆ ไว้  รวมทั้งมีหุ่นขี้ผึ้งของเกจิอาจารย์และพระสงฆ์ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวไทยตั้งแสดงอยู่ด้วย

สำหรับคนชอบผ้า ที่นี่อาจเป็นแหล่งศึกษาผ้าจกคูบัวที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย มีคอลเลคชันผ้าจกเก่าอยู่ในลิ้นชักตู้แบบถูกขั้นตอนการอนุรักษ์ ให้เปิดดูได้อย่างต้องว้าวเสียทุกลิ้นชัก โชคดียิ่งในวันที่เราไปชม ดร.อุดม สมพร ผู้ริเริ่มและดำเนินการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ท่านอยู่พอดี จึงนำชมและเปิดตู้เปิดลิ้นชักให้เราดู พร้อมอธิบายเรื่องราวอย่างละเอียดสุดๆ

กว่าเราจะได้ออกจากคูบัวก็บ่ายคล้อย เก็บอีก 1 พิพิธภัณฑ์ไม่ทันแน่ๆ จึงเปลี่ยนเป้าไปนั่งจิบเครื่องดื่มและกินขนมที่คาเฟ่ดังซึ่งใครๆ ก็บอกว่าเป็น “a must” ของโพธาราม ด้วยการออกแบบสถานที่อย่างสะดุดตา และมีบรรยากาศยามบ่ายๆ ริมแม่น้ำของที่นี่ที่ไม่มีใครเทียบ

“S.O.P” ย่อมาจาก Sense of Place ทางเข้าออกลึกลับเล็กน้อย เพราะต้องทะลุผ่านวัดสร้อยฟ้าเข้ามาก่อน แล้วจึงจะเห็นที่จอดรถและทางเดินสู่คาเฟ่ซึ่งใช้แผ่นเหล็กขึ้นสนิมทำเป็นช่องทางเดินแบบลุ้นๆ ร้อนๆ ก่อนจะสุดทางที่วิวแม่น้ำกับต้นไม้ร่มรื่น ด้วยการออกแบบที่เก๋สุดๆ ทำให้มีคนมาถ่ายรูปกันค่อนข้างมาก ใครอยากได้ sense of peace  น่าจะหลีกเลี่ยงช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เข้าไว้

เมื่อเลือกขนมและสั่งเครื่องดื่มได้ เราก็ไปจับจองมุมนั่งสบายริมแม่น้ำแม่กลองที่น้ำไหลเอื่อย นานๆ จะมีเรือพายผ่านไปสักลำ เป็นความสุขที่ดีอยู่เหมือนกัน จนบ่ายคล้อยเราจึงไปเช็คอินที่โรงแรมพิงเพ-ลา โพธารามซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำแบบสวยสงบ เป็นที่ชื่นชอบของคนกรุง คนเมืองยิ่งนัก โรงแรมมีไม่กี่ห้อง อาจทำให้จองยากสักหน่อยโดยเฉพาะห้องใหญ่ปลายสุดที่เห็นวิวแม่น้ำอย่างเต็มตา

แล้วเราก็ทิ้งร่างอย่างสบาย ที่พิงเพ-ลาตั้งแต่เย็นย่ำ ค่ำ จนตื่นมาพบอาหารเช้าแบบ “อลัง” ที่เป็นซิกเนเจอร์ของพิงเพ-ลา

พิพิธภัณฑ์ที่ 3 ในตอนสายวันใหม่ คือ พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน ซึ่งมีดีกรีระดับโลกเพราะได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ACCU) เมื่อปี 2550 และประกาศให้ "การสืบทอดและฟื้นฟูหนังใหญ่วัดขนอน" เป็น 1 ใน 6 ชุมชนดีเด่นของโลกที่มีผลงานในการอนุรักษ์ฟื้นฟูมรดกวัฒนธรรมเชิงนามธรรม ในปีเดียวกัน

พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน ตั้งอยู่ที่เรือนไทยภายในวัด จัดแสดงตัวหนังใหญ่หรือแผ่นหนังขนาดใหญ่ที่แกะสลัก ฉลุลายอย่างวิจิตรเพื่อใช้เชิดหลังจอผ้าขาว หนังใหญ่เป็นการรวมศิลปะในการแสดงและดนตรีของไทยไว้ด้วยกัน เชื่อกันว่าการแสดงเชิดหนังแบบนี้มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย เป็นที่นิยมมากในสมัยอยุธยากับเรื่องรามเกียรติ์และในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ได้นำบทละครอิเหนาเข้ามาใช้แสดงด้วย ตัวหนังใหญ่วัดขนอนค่อนข้างสมบูรณ์และสวยงามมาก สร้างขี้นในสมัย ร.5 โดยสร้างตัวหนังให้มีขนาดใหญ่กว่าที่นิยมกันในสมัยก่อน ปัจจุบันยังมีตัวหนังเหลืออยู่กว่า 300 ตัวและนับเป็นเพียงวัดเดียวที่มีมหรสพเป็นของวัด มีตัวหนังและคณะหนังใหญ่ที่สมบูรณ์สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

แม้พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอนจะเล็กๆ แต่จัดแสดงตัวหนังใหญ่ไว้ได้อย่างงดงามจับใจ เมื่อค่อยๆ ชมแบบพิจารณากันไปทีละตัวก็ใช้เวลากันไปได้โขเหมือนกัน จนเกินเที่ยงถึงได้ออกจากโพธารามกลับสู่กรุงเทพฯ

Travel Tips

  • การแสดงมหรสพหนังใหญ่ที่วัดขนอนมีเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ เปิดให้เข้าชมฟรีตามรอบเวลา : วันเสาร์ 10.00 น. – 11.00 น. วันอาทิตย์ 11.00 – 12.00 น. วันหยุดนักขัตฤกษ์ 11.00-12.00 น.
  • เดินเล่นริมเขื่อนและชมตลาดเช้าย่านเมืองเก่าโพธาราม เป็นกิจกรรมดีๆ ของคนรักการตื่นเช้า
  • ถ้ามีเวลา ควรแวะไปท่องเที่ยวธรรมชาติที่โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งอยู่ไม่ไกล

Writer

นิศารัตน์ สีตะสุวรรณ

อดีตบรรณาธิการนิตยสารเที่ยวรอบโลก เดินทางเก็บแต้มมากว่า 70 ประเทศ แต่ตอนนี้หันมาท่องเที่ยวเมืองไทยแบบชิลๆ ช้าๆ และแวะหาของกินอร่อยๆ ไปเรื่อยๆ ตามสภาวะเหตุการณ์ของโลกในปัจจุบัน

Comments

ความคิดเห็นจากผู้อ่าน
({{comment_all}} ความคิดเห็น)